
ปราสาทศีขรภูมิ ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปีจังหวัดสุรินทร์ได้จัดให้มีงานแสดงช้าง ซึ่งถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติ ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมาชมกันอย่างเนืองแน่น
นับเนื่องมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ ถึงปีนี้ ๒๕๕๐ งานแสดงช้างมีย่างอายุ ๔๗ ปีแล้ว นอกจากงานช้างแล้ว จังหวัดสุรินทร์ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมอีกมากมาย ตามคำขวัญของจังหวัด “สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม” ช่วงหลังๆ มานี้มีคนต่อท้ายให้ “ศิลปะการต่อสู้เลิศล้ำ จา พนม”
ก่อนอื่นใด ผู้เขียนอยากให้ท่านได้รู้จักอำเภอศีขรภูมิพอสังเขป “ศีขรภูมิ” (สี-ขอ-ระ-พูม) เป็นชื่อที่หากไม่ใช่คนศีขรภูมิแล้วมักจะอ่านยากและเขียนไม่ค่อยถูก บางคนอ่าน “สี-ขอน-พูม” หรือ “สี-ขะ-ระ-พูม” และก็มักจะเขียนว่า “ศรีขรภูมิ”
แค่ชื่ออำเภอก็ชวนให้ติดตามแล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นก็เขียนว่า “ศรีขรภูมิ” ซึ่งก็ยังมีโรงเรียนประถมในอำเภอยังใช้ชื่อนี้อยู่ คือโรงเรียนบ้านระแงง (ศรีขรภูมิวิทยาคม) แต่พอเป็นโรงเรียนมัธยมกลับเขียนว่า “ศีขรภูมิพิสัย แต่คำที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการในปัจจบันนี้คือ “ศีขรภูมิ” ซึ่ง “ศีขร” มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า “ยอด, ยอดเขา, ภูเขา” ในความหมายของ “ศีขรภูมิ” จึงน่าจะมีความหมายในทำนองว่า “ที่สูง”
อำเภอศีขรภูมิถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ไม่น้อย กล่าวคือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปี ๒๔๘๖ จังหวัดสุรินทร์ได้ทดลองย้ายจังหวัดมาอยู่ที่อำเภอศีขรภูมิ ได้ราว ๖ เดือน โดยศาลากลางนั้นตั้งอยู่ที่โรงเรียนบ้านระแงง และในปี ๒๔๘๗ กองทัพของจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ส่งทหารมาตั้งกองบัญชาการที่วัดระแงง (อยู่หน้าสถานีรถไฟ) โดยอ้างว่าเพื่อรักษาเส้นทางรถไฟ เพราะเกรงว่าทหารไทยจะตีตลบหลัง
ตามเอกสารได้กล่าวถึงลักษณะของปราสาทศีขรภูมิ ดังนี้
จะเห็นเทพเจ้าตามหลักศาสนาฮินดูอยู่หลายองค์ ซึ่งปราสาทศีขรภูมิแห่งนี้เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ เทพสิบกรนั่นก็คือพระศิวะกำลังร่ายรำ หรือ เรียกกันว่า “ศิวะนาฏราช” โดยมีเทพอีก ๔ องค์ร่วมบรรเลงด้วย กล่าวคือ ไล่เรียงจากทางด้านขวามือของเราในขณะที่แหงนหน้ามอง ภายใต้วงโค้งของมาลัยนั้นพระคเณศถือดอกบัวและชูงวง คล้ายร่ายรำ (เพราะช้างสุรินทร์เวลาเต้นรำก็มักจะชูงวงตามไปด้วย) ถัดมาคือพระพรหม ในที่นี้จะเห็นเพียง ๓ หน้า (เพราะด้านหลังคงสลักไม่ได้) แต่มี ๔ กร กำลังตีฉิ่งและถือดอกบัว
ปราสาทศีขรภูมิมีปรางค์ทั้งหมด ๕ องค์ แต่พบทับหลังถึง ๔ ชิ้น อีกชึ้นหนึ่งน่าจะสูญหายไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับองค์ปราสาทอีกจำนวนมาก โดยฝีมือมนุษย์นี่แหละ ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ประสงค์ได้บันทึกไว้ว่า “ปู่ ย่า ตา ยาย และคนเฒ่า คนแก่ เล่าให้ฟังว่า ในระหว่างสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือไปจังหวัดอุบลราชธานีนั้น มีฝรั่งมาดูและเอาเชือกหนังผูก ใช้ช้างลากดึงยอดบัวตูมลงมา เพื่อค้นหาเพชรนิลจินดาและสมบัติอันมีค่า…
สำหรับหน้าปราสาทองค์กลางใหญ่นั้น มีการขโมยขุดค้นพระพุทธรูปอันล้ำค่าและสลักหินที่ตกเรียงรายอยู่ในลานปราสาทได้ถูกโจรกรรมไปเกือบหมด ต่อมาภายหลังกรมศิลปากรได้ทราบเรื่อง จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่เก็บลายสลักหินที่เหลือไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย และสืบทราบว่าผู้ที่มาโจรกรรมลายสลักหินนั้นคือ โจรในเครื่องแบบ” เมื่อตอนต้นปี ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา ชมรมคนรักปราสาทศีขรภูมิ ได้เรียกร้องให้นำทับหลังทั้ง ๓ ชิ้นกลับมาไว้ที่เดิม เป็นข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน แต่ได้รับคำตอบจากกรมศิลปากรว่าให้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์นั้นเหมาะสมดีแล้ว เรื่องนี้ก็คงเป็นประเด็นให้อภิปรายถกเถียงกันต่อไป
ไม่เพียงแต่ศิลาทับหลังเท่านั้นที่เป็นจุดเด่นของปราสาทศีขรภูมิ ซุ้มประตูองค์กลางที่ประดิษฐานทับหลังนั้น เสาทั้งสองยังสลักรูปนางอัปสรหรือนางอัปสราไว้ทั้งข้างหันหน้าทักทายผู้มาเยือน ส่วนด้านข้างนั้น ได้สลักเป็นนายทวารยืนกุมกระบองทั้งสองเสา ที่สำคัญคือ เป็นนางอัปสราที่สมบูรณ์ที่หลงเหลืออยู่แห่งเดียวในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
นอกจากลวดลายสลักเสลาของทับหลังและเสาที่สวยงามแล้ว เครื่องประดับจำพวกกลีบขนุนก็สวยงามไม่แพ้กัน และสิ่งหนึ่งที่อยากให้ท่านสังเกตถึงลักษณะการก่อปราสาทที่เอกสารระบุไว้ว่าก่อด้วยอิฐขัดมัน อิฐแต่ละก้อนนั้นนอกจากมีขนาดไม่เท่ากันยังประสานกันเป็นเนื้อเดียวอีกด้วย นี่คือความอัจฉริยะของช่างสมัยโบราณโดยแท้ ปราสาทศีขรภูมิถือเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอศีขรภูมิและจังหวัดสุรินทร์ โดยตราประจำจังหวัดสุรินทร์นั้นจะเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างอยู่ด้านหน้าปราสาทศีขรภูมิ ในอดีตเมื่อ ๔๐ กว่าปีนั้น อำเภอศีขรภูมิเคยจัดงานฉลองปราสาทอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ว่ากันว่ายิ่งใหญ่กว่างานช้างเสียอีก ในแต่ละปีที่จัดนั้น สามล้อทุกคันจะมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟอำเภอศีขรภูมิเพื่อรับส่งผู้โดยสาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น